Mobile :: หลุด Galaxy S4 !!

       ภาพหลุดตัวล่าสุดของ Samsung Galaxy S IV หรือเรียกสั้นๆว่า S4 ที่คาดกันว่ามาแน่ๆ แต่จะเปิดตัวในงาน CES 2013 นี้เลยรึเปล่า? หรือจะเป็นงาน Samsung Mobile Unpacked 2013 วันที่ 4 มีนาคมนี้ หรือไม่ ก็น่าลุ้น อย่างไรก็ตาม S4 จะมีอะไรที่แตกต่าง S3 และ Note 2 นอกจากหน้าจอที่คาดว่าจะใหญ่ขึ้น งานนี้คงต้องติดตามกันต่อไป


  หลังการเต้าข่าวของมือถือ-สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่จากฝั่ง Samsung ที่สื่อต่างชาติออกมาฟันธงว่าน่าจะเป็นSamsng Galaxy S IV หรือ S4 ตัวนี้แหละที่จะปรากฎสู่สายตาสาวกสมาร์ทโฟนให้ได้ตื่นตาตื่นใจกันตั้งแต่ต้นปี 2013 โดยข่าวหลุดต่างๆนานาที่ออกมาอย่างต่อเนื่องของ Galaxy S4 ทำให้คนเสพข่าวอย่างเราๆใจจดใจจ่อว่า เมื่อไหร่จะถึงวันที่สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่นี้จะเปิดตัวเสียที ซึ่งภาพหลุดรุ่นล่าสุดเผยให้เห็นถึงตัวเครื่องตัวเป็นๆ ที่อาจกล่าวได้ว่านี้เป็นภาพแรกเลยก็ว่าได้ จากการสังเกตเบื้องต้น Galaxy S4 มีลักษณะภายนอกที่ค่อนข้างตรงกับภาพจำลองที่เคยเปิดเผยไปก่อนหน้านี้ ทางด้านสีสันยังมีกลิ่นอายของ Galaxy S3 อยู่หน่อยๆที่เน้นไปที่เฉดสีขาว ส่วนอีกจุดที่เปลี่ยนแปลงไปคือ การขาดหายไปของ "ปุ่ม home" อาจตีความได้ว่า Samsung จะเปลี่ยนมาใช้ปุ่มแบบ on screen แทน
สำหรับสเปคภายในคาดว่าจะมาพร้อม Android 4.2.1, CPU Exynos 5450 Quad-Core 2.0 GHz, RAM 2GB, หน้าจอ 4.99 นิ้ว Super AMOLED HD ความละเอียด 108o x 1920, กล้องหลัง 13 MP, กล้องหน้า 2 MP

 
ต้องติดตามกันว่า Samsung Galaxy S IV หรือ S4 สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ตัวแรกของ Samsung ประจำปี 2013 จะออกมาตรงกับการรายงานข่าวไปก่อนหน้านี้หรือไม่ ใครที่เป็นแฟน Samsung ก็ห้ามพลาด !!


Load Balancing






อธิบายการทำงานของระบบ
จากเครื่อง Client ทำการร้องขอไปยัง WebServer โดยมี ScripLoadBalance ทํา การ redirect ไปยัง Server ที่มีการเข้าใช้บริการน้อยที่สุดสามารถตรวจเช็คได้จาก Database ที่มีการเก็บข้อมูลมาจาก Server 1, 2, n...แบบ Real Time

อุปกรณ์
1. Computer Server   จำนวน 2 เครื่อง
2. Computer Test   จำนวน 2 เครื่อง
3. Web Server Load Balance   จำนวน 1 เครื่อง
4. Switch   จำนวน 1 เครื่อง

ขั้นตอนการทำเว็บเซิฟเวอร์
1. คลิกที่ Start > Setting > Control Panel
2. ดับเบิ้ลคลิกที่ Add or Remove Program
3. คลิกที่ Add/Remove Windows Components
4. คลิกเลือกที่ Internet Information Services (IIS)
5. คลิกปุ่ม Next> เพื่อเริ่มติดตั้ง
6.กรณีระบบถามหาตัวติดตั้ง WindowsXP ให้คลิกปุ่มOKแล้วทำการ Browse หาแผ่น CD
 ติดตั้ง Windows XP ห้อง i386
7. คลิกปุ่ม Open, OK
8.ระบบบจะทำ การติดตั้ง IIS ดังรูป
9. คลิกปุ่ม Finish

การปรับแต่ง IIS
1. ทําการคลิกขวาที่ไอคอน My Computer > Manage
2. คลิกที่ Services and Applications > Internet Information Services > Web Sites > Default Web Site
3. เริ่มปรับแต่งโดยการคลิกขวาที่ Default Web Site > Properties
4. แท็บ WebSite
• Description : ระบุชื่อเว็บไซต์ที่ต้องการเช่น www.ftim.kmutnb.ac.th
• IP Address : เลือก IP Address ที่ต้องการใช้เรียกเว็บไซต์ (หากต้องการให้เรียกได้ทุก IP ก็ เลือกเป็น All Unassigned)
• TCP Port : พอร์ตในการเรียกใช้เว็บไซต์ เลือกเป็น 80 กรณ๊ใช้ port 80 การเรียกเว็บไซต์ไม่จําเป็นต้องอ้างอิงพอร์ต เช่น http://192.168.1.5 (เบื้องหลัง เป็น http://192.168.1.5:80) กรณีต้องการเปลี่ยนพอร์ตอาทิ เปลย่ีนเป็น พอร์ต 81 ตอนเรียกเว็บก็เรียกเป็น http://192.168.1.5:81
5.แท็บ Home Directory
LocalPath : พาทที่ต้องการเก็บเว็บไซต์ปกตจิะเป็น Inetpub\wwwroot
[ ] Script source access : ต้องการให้มองเห็นสคริปต์ไฟล์
/ ] Read : อ่านไฟล์ได้
[ ] Write : เขียนทับไฟล์ได้
[ ] Directory browsing : ต้องการให้สามารถมองเห็นข้อมูลในไดเร็กทอรีได้
/ ] Log visits : มีการเก็บล็อกไฟล์ไว้
/ ] Index this resource : มีการเรียกหาไฟล์ index
6.แท็บ Document
เพิ่มไฟล์ Home Page หรือ ไฟล์หน้าแรกที่ต้องการเรียกใช้งานโดยการคลิกที่ปุ่ม Add
index.html > ภาษา HTML
index.shtml > ภาษา SHTML
index.asp > ภาษา ASP
index.aspx > ภาษา ASP.NET
ในการใช้งานจริงๆให้เพิ่มเฉพาะภาษาที่เราใช้งานในระบบเท่าน้ัน
เช่น กรณีใช้ภาษา ASP ก็ให้เพิ่ม index.html,index.asp
7. เมื่อปรับทุกส่วนเสร็จแล้วให้คลิกที่ปุ่ม OK
8. ทำการ Stop และ Start IIS 1 รอบ
9. เสร็จสิ้นการปรับแต่ง IIS

Mobile :: "สวิตช์ไฟ" ไร้สาย


          ในงาน CES 2013 ที่จะเริ่มในสัปดาห์นี้ เบลคิน (Belkin) เตรียมประกาศเปิดตัว WeMo Ligh Switch "สวิตช์ไฟ"ที่เชื่อมต่อไร้สายกับอินเทอร์เน็ต เพื่อให้ผู้ใช้สามารถสั่งควบคุมการเปิดปิดจากที่ใดก็ได้ผ่านแอพฯบนสามาร์ทโฟน Android ของคุณ...เจ๋งอ่ะ
         ต่อไปหากคุณลืมเปิดไฟตอนออกจากสำนักงานในยามค่ำคืน คุณไม่ต้องกลับมาที่ออฟฟิศ เพื่อจัดการเรื่องดังกล่าว เพียงแค่หยิบมือถือ หรือแท็บเล็ต Android สั่งรันแอพฯ แล้วเลือกหลอดไฟที่ต้องการเปิดให้ส่องสว่าง หรือปิดบางดวงที่ไม่จำเป็น เพียงแค่นี้ก็เรียบร้อยแล้ว หรือในกรณีที่คุณต้องกลับบ้านดึก แต่ต้องการเปิดไฟที่บ้านให้สว่างไว้ เพื่อความปลอดภัย ก็สามารถทำได้เช่นกัน นอกจากจะ WeMo จะให้คุณสามารถเปิดปิดไฟจากที่ไหนก็ได้แล้ว มันยังมีออปชันใหัคุณตั้งเวลาการเปิดปิดได้อีกด้วย (ไม่ใช่แค่เตือนเท่านั้น) คราวนี้เวลาไปเที่ยว หรือไม่อยู่บ้านหลายวัน ก็เพียงแค่สั่งให้สวิตช์ไฟอัจฉริยะ Belkin WeMo จัดการเปิดปิด
ไฟตามที่กำหนดได้อย่างง่ายดาย 

           ก่อนหน้านี้ WeMo ของ Belkin จะสนับสนุนการทำงานร่วมกับอุปกรณ์ iOS เท่านั้น แต่ล่าสุด ทางบริษัทได้เพิ่มการสนับสนุนอุปกรณ์ Android เข้าไปด้วยแล้ว โดยจะเปิดตัวสวิตช์ไฟอัฉริยะดังกล่าวในงาน CES 2013 ที่ลาสเวกัส คาดว่า ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะเปิดตัวในช่วงปลายปีนี้ อืม...แม้แต่สวิตช์ไฟยังต้องฉลาดให้ทันกับอุปกรณ์อื่นๆ เลยนะเนีย ไม่งั้นตกเทรนด์

File Transfer Protocol : FTP ใน FreeBSD


การติดตั้ง ftp ใน freeBSD นั้น freeBSD มันติดตั้งมาให้แล้วเพียงแต่เราต้องไปเปิดสวิตซ์การทำงานให้กับมัน

#vi /etc/rc.conf

แก้ไขไฟล์ rc.conf โดยให้  inet_enable =“YES”
และทำการปิด Firewall โดยเพิ่ม # ไปในบรรทัด
#firewall_enable=“YES”
#firewall_type=“OPEN”




#vi /etc/inetd.conf

         แก้ไขไฟล์ inetd.conf ซึ่งเป็นไฟล์สำหรับเปิดให้บริการ service ต่างๆโดยเอา # ออกจาก           ftp  stream  tcp  nowail …



         การเชื่อมต่อจาก  client ไปยัง ftp server
โดยการใช้คำสั่ง  ftp ตามด้วย ip address ของ server
         จากนั้นใส่ username และ password ของ user ใน FreeBSD  หรือใช้ anonymous ในการ login  แล้วจะเข้าไปใน ftp server







        ทดสอบการส่งไฟล์ จากเครื่อง client ไปยัง ftp server โดยสร้างไฟล์ เช่น network.txt ไว้ที่ Drive C:
ใช้คำสั่ง put C:/network.txt
ในการส่งไฟล์ network.txt ไปยัง ftp server

การติดตั้ง DHCP บน FreeBSD








1. เริ่มจากค้นหา พอร์ตของ dhcp
freebsd# cd /usr/ports/ 

2. ค้นหาพอร์ตของ dhcp
freebsd# make search name=dhcpd 
Port: isc-dhcp3-server-3.0.5_2
Path: /usr/ports/net/isc-dhcp3-server

3. เข้าไดเรกทรอรี่ dhcp เพื่อทำการติดตั้งโปรแกรม
freebsd# cd /usr/ports/net/isc-dhcp3-server 

4. เลือกออพชั่น การติดตั้งโปรแกรม
freebsd# make config
Options for isc-dhcp3-server 3.0.5_2
[X] DHCP_PARANOIA add -user, -group and -chroot options
[ ] DHCP_JAIL add -chroot and -jail options
[ ] DHCP_SOCKETS use sockets instead of /dev/bpf (jail-only)
[ ] DHCP_LDAP add experimental LDAP backend support
[X] DHCP_LDAP_SSL support LDAP connection over SSL/TLS
[X] OPENSSL_BASE use the base system OpenSSL (required by TLS)
[ ] OPENSSL_PORT use OpenSSL from ports (required by TLS)
[ ] DHCP_LQ DHCPLEASEQUERY support used by Cisco uBR's
[ OK ] Cancel

5. ทำการติดตั้งโปรแกรม
freebsd# make 
freebsd# make install

6. สร้างไฟล์คอนฟิก dhcpd.conf
freebsd# cp /usr/local/etc/dhcpd.conf.sample /usr/local/etc/dhcpd.conf.sample 
หรือ
freebsd# touch /usr/local/etc/dhcpd.conf

7. กำหนดค่าคอนฟิกไฟล์
freebsd# pico /usr/local/etc/dhcpd.conf 
ddns-update-style ad-hoc;
option domain-name "yiu.edu";
option domain-name-servers 118.175.87.11, 203.113.24.199;
default-lease-time 6000;
max-lease-time 72000;
subnet 118.175.87.8 netmask 255.255.255.248 {
}
# This is a very basic subnet declaration.
subnet 172.30.2.0 netmask 255.255.255.0
{ range 172.30.2.20 172.30.2.250;
option routers 172.30.2.1;
option broadcast-address 172.30.2.255;
}
host server_controll {
hardware ethernet 00:04:e2:80:f7:f0;
fixed-address 172.30.2.254; } //เป็นการกำหนดค่า แจกไอพี แบบกำหนด


8. สร้างไฟล์จัดเก็บรายละเอียดไอพี ปกติมีมาให้เรียบร้อยแล้วครับ หากไม่มีก็ให้ทำ
freebsd# touch /var/db/dhcpd.leases 
freebsd# chmod 777 /var/db/dhcpd.leases

9. ตรวจสอบโปรเซส dhcpd
freebsd# ps ax | grep dhcpd 
22811 ?? Is 0:00.00 /usr/local/sbin/dhcpd 

10. เพิ่มคำสั่งใน /etc/rc.conf
freebsd# echo ‘dhcpd_enable="YES"’ >> /etc/rc.conf 

สามารถให้งานบริการ DHCP แล้วละครับ ลง reboot เครื่องสักรอบก็ได้ครับ 

freebsd# shutdown –r now




DHCP(Dynamic Host Configuration Protocol)




             คือ โปรโตคอลที่ใช้ในการกำหนด IP Address อัตโนมัติแก่เครื่องลูกข่ายบนระบบ ที่ติดตั้งTCP/IP สำหรับ DHCP server มีหน้าที่แจก IP ในเครือข่ายไม่ให้ซ้ำ เป็นการลดความซ้ำซ้อน เมื่อเครื่องลูกเริ่ม boot ก็จะขอ IP address, Subnet mark, หมายเลข DNS และ Default gateway

ตอนการเชื่อมต่อของเครื่องลููกกับ DHCP server

1. เครื่องลูกค้นหาเครื่อง DHCP server ในเครือข่าย โดยส่ง DHCP discover เพื่อร้องขอ IP address
2. DHCP server จะค้นหา IP ที่ว่างอยู่ในฐานข้อมูล แล้วส่ง DHCP offer กลังไปให้เครื่องลูก
3. เมื่อเครื่องลูกได้รับ IP ก็จะส่งสัญญาณตอบกลับ DHCP Request ให้เครื่องแม่ทราบ
4. DHCP server ส่งสัญญาณ DHCP Ack กลับไปให้เครื่องลูก เพื่อแจ้งว่าเริ่มใช้งานได้

ขั้่นตอนการทำงานของ DHCP
เครื่อง Client ทำการค้นหาตำแหน่งที่อยู่ของDHCP Serverบนระบบเครือข่ายโดยการส่งแมสเซจ DHCPDiscover ออกไปบนเครือข่ายเพื่อร้องขอ IP Address 
DHCP Server จะค้นหาหมายเลข IP Address จากฐานข้อมูลในเครื่องเพื่อไม่ให้ซ้ำกัน แล้วส่งแมสเซจ DHCPOffer กลับไปให้เครื่อง Client ที่ขอมา
เมื่อเครื่อง Client ได้รับหมายเลข IP Address แล้ว เครื่อง Client จะส่งสัญญาณตอบกลับ DHCPRequest มาให้ทราบ
DHCP Server จะส่งสัญญาณ DHCPAck กลับไปยังเครื่อง Client เพื่อให้เริ่มใช้งานได้ และ DHCP Server จะเก็บหมายเลข IP Address นั้นเอาไว้ไม่ให้ใครใช้


NAT : Network Address Translation



ก่อนอื่นมาเข้าใจกันก่อนว่า...

การสื่อสารในระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต จะมีการกำหนด IP Address ซึ่งเป็นหมายเลขที่ใช้สำหรับระบุตัวตนของผู้ใช้งาน (หมายเลข IP จะเป็นกลุ่มเลข 4 ชุด เช่น 202.153.148.21 เป็นต้น) ซึ่งแต่ละคนจะมีหมายเลข IP Address ไม่ซ้ำกัน อย่างไรก็ตามโดยปกติ IP Address ของคุณที่ได้รับเวลาเล่น internet ผ่านทาง ISP จะได้รับเป็นหมายเลขแบบสุ่ม
ปัจจุบันมีผู้ใช้งาน Internet มากมาย ทำให้ IP Address ที่แจกจ่ายให้นั้น ไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหา IP ไม่เพียงพอ สามารถทำได้โดยใช้วิธีการทำ Network Addrsss Translation (NAT) หรือการสร้างตารางการจับคู่ของ IP แบบสุ่ม (ตัวอย่าง : สมมุติว่าองค์กรมีคอมพิวเตอร์ 50 เครื่องที่ต้องการเล่น internet และมี Registered IP จาก ISP 2 หมายเลข การทำ NAT แบบสุ่ม จะมีการตรวจสอบว่า IP ใดว่างก็จะมีการใช้ IP นั้นๆ) สำหรับอุปกรณ์สำหรับทำ NAT สามารถทำได้จากอุปกรณ์ที่เรียกว่า Router หรือ Firewall

หลักการทำงานของ NAT

โดยทั่วไปในระบบเครือข่ายภายในองค์กร โดยเฉพาะองค์กรที่มี Server เป็น Windows NT, 2000 server จะมีการกำหนด IP ภายในองค์กรที่เรียกว่า private IP เช่น 192.168.0.1 หรือ 10.0.0.1 เป็นต้น IP เหล่านี้จะเป็น IP จะไม่สามารถนำไปใช้งานในระบบอินเตอร์เน็ตได้ การทำ NAT จะเป็นการแปลง private IP ให้เป็น IP ที่สามารถใช้งานบนระบบอินเตอร์เน็ตได้ หรือที่เราเรียกว่า Registered IP

สิ่งที่ควรรู้เพิ่มเติม เกี่ยวกับ NAPT


จากรายละเอียดข้างต้น ยังไม่สามารถอธิบายความสามารถของการทำ NAT ได้ ดังนั้นขออธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับ NAPT : Network Address Port Translation โดยรายละเอียดแล้ว การสื่อสารผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต โดยใช้ช่องทางสื่อสาร TCP/IP จะประกอบด้วย
Source IP Address
Source Port
Destination IP Addrss
Destination Port


ซึ่งทั้งหมดนี้ รวมเรียกว่า Socket และตัว Socket นี้เองจะเป็นตัวกำหนดว่าการสื่อสารนั้นยังคงดำเนินการต่ออยู่หรือไม่ และเนื่องจากจำนวน port ใน Firewall จะมีจำนวน ports ถึง 65,535 (สำหรับ server 1024 ports) ดังนั้นจะมี ports คงเหลือ 64,511 ทำให้เราสามารถต่ออินเตอร์เน็ตภายในองค์กร โดยใช้ Registred IP เพียงไม่กี่หมายเลข และนี่คือความสามารถพิเศษในการใช้งานในส่วนของ NAPT นั่นเอง